sirisoft-blog
  • Home
  • test-intro-article
  • cat-list-test
  • blog

Home

เปรียบเทียบ Monitoring vs Observability รู้ทันปัญหา ลด downtime เพิ่มความต่อเนื่องให้ระบบ

Jun 18, 2025
  • Sirisoft
  • SRS
  • Observability
  • Monitoring
  • DigitalTransformation
  • Infrastructure

ในโลกที่ธุรกิจต้องพึ่งพาระบบไอทีอย่างเต็มรูปแบบ ความเสถียร ความปลอดภัย และการตอบสนองต่อปัญหาอย่างทันท่วงที
เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ และเมื่อพูดถึงการดูแลระบบ หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า Monitoring (การตรวจสอบ)  
แต่อาจยังไม่เข้าใจถึงบทบาทของ Observability (การสังเกต) ที่กำลังเป็นหัวข้อร้อนในโลกของ DevOps และ IT Operation

หลายคนอาจเคยได้ยินสองคำนี้ใช้แทนกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งคู่มีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณเปรียบเทียบ
ความแตกต่างระหว่าง Monitoring และ Observability พร้อมแนะนำแนวทางเลือกใช้อย่างเหมาะสม
เพื่อให้ระบบของคุณ "ไม่มีสะดุด" และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

3d modern blue business information graphic

Monitoring คืออะไร?

Monitoring คือการติดตามและตรวจสอบสถานะของระบบแบบ Real-time เพื่อให้เรารู้ทันเมื่อมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
เช่น เซิร์ฟเวอร์ล่ม CPU วิ่งเกินกว่าค่าที่กำหนด หรือระบบตอบสนองช้ากว่าปกติ

ตัวอย่าง: คุณตั้งระบบแจ้งเตือนไว้ว่า ถ้า Server CPU > 90% เกิน 5 นาที ให้ส่ง Alert มาที่ Slack หรือ Email เพื่อให้ทีมเข้ามาดูทันที นี่คือ Monitoring

ข้อดี 
แจ้งเตือนปัญหาได้เร็ว – เมื่อระบบเกินเกณฑ์ที่กำหนด (Threshold) จะส่ง Alert ให้ทีมงานทราบทันที
เหมาะสำหรับระบบที่คาดการณ์ได้ – เหมาะสำหรับ application ที่ให้ความสำคัญสูง หรือ ต้องการตรวจสอบ ณ ช่วงเวลานั้น
ใช้ง่ายและประหยัดทรัพยากร – เพราะโฟกัสเฉพาะข้อมูลสำคัญ

ข้อจำกัด
ไม่เหมาะกับระบบที่ซับซ้อน – เช่น Microservices หรือ Cloud-Native ที่มี Dependency มาก
ไม่สามารถวิเคราะห์ Root Cause ได้ลึก – เพราะตรวจสอบเฉพาะสิ่งที่ตั้งค่าไว้

ตัวอย่างเครื่องมือ

  • Prometheus(Open-source monitoring)
  • Nagios(ระบบแจ้งเตือนแบบดั้งเดิม)
  • Zabbix (Monitoring แบบ Real-time)

 observability

Observability คืออะไร?

Observability คือความสามารถในการเข้าใจสถานะภายในของระบบผ่านข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ เช่น Logs, Metrics, Traces
ซึ่งช่วยให้ทีมวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา (Root Cause) ได้รวดเร็ว แม้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตัวอย่าง: ระบบมี Response Time สูงขึ้น แต่ไม่มี Alert จาก Monitoring ทีมใช้ Observability Tool วิเคราะห์ Trace
และพบว่า API บางตัวทำงานช้าลงเพราะฐานข้อมูลมี Latency สูงผิดปกติ — นี่คือ Observability

ข้อดี
วิเคราะห์ปัญหาแบบลึก (Root Cause Analysis) – ดูได้ว่าเหตุการณ์หนึ่งส่งผลต่อระบบอย่างไร
เหมาะกับระบบ Distributed และ Cloud-Native – ติดตามการทำงานของ Microservices ได้ดี
ยืดหยุ่นสูง – สำรวจปัญหาใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน

ข้อจำกัด
ต้องการทรัพยากรและการจัดการข้อมูลมากขึ้น – ต้องเก็บ Logs และ Traces จำนวนมาก
อาจมีข้อมูลมากเกินไป – หากไม่มีกลยุทธ์การวิเคราะห์ที่ดี

ตัวอย่างเครื่องมือ

  • Elastic Stack (ELK)– สำหรับเก็บและวิเคราะห์ Logs
  • Jaeger– Distributed Tracing
  • Grafana + Loki– Visualization & Log Aggregation
  • Dynatrace - Observability พร้อม AI วิเคราะห์ปัญหาอัตโนมัติ

เปรียบเทียบ Monitoring vs Observability

SRS-BlogEp11-Fb-960x1200-SKD1.jpg

ใช้ Monitoring และ Observability ร่วมกันได้ไหม?

คำตอบคือ ได้แน่นอน!
การผสานพลังของ Monitoring และ Observability ช่วยให้ทีม IT รับมือกับปัญหาได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

  • Monitoring ทำหน้าที่เป็นด่านหน้า คอยแจ้งเตือนเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติ เช่น เซิร์ฟเวอร์ล่ม หรือระบบตอบสนองช้ากว่าปกติ
  • Observability คือด่านวิเคราะห์ ทำหน้าที่สืบหาสาเหตุของปัญหา เช่น ตรวจสอบ Trace เพื่อระบุว่า Service ใดคือจุดที่ทำให้ระบบชะงัก

การทำงานร่วมกันของทั้งสอง ช่วยให้ทีมสามารถทั้ง “รู้เร็ว” และ “แก้ถูกจุด”

 

ตัวอย่างสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้เห็นภาพการใช้งานจริงมากขึ้น

Use Case 1 – อีคอมเมิร์ซช่วงแคมเปญใหญ่ (เช่น 11.11)

เมื่อยอดคำสั่งซื้อทะลัก แต่ประสบการณ์ลูกค้าต้องไร้รอยต่อ
ลองนึกภาพวันที่มียอดสั่งซื้อพุ่งทะลุเพดานอย่าง 11.11 หรือ Black Friday เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหลายแห่งต้องแบกรับโหลดมหาศาล
จนระบบอาจเริ่มช้า หรือแย่กว่านั้น—ผู้ใช้จ่ายเงินไม่ได้! ที่นี่เอง Monitoring จะเข้ามาจับสัญญาณเตือน เช่น CPU หรือ Response Time
ที่เกินค่ามาตรฐาน และส่งแจ้งเตือนให้ทีม DevOps ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทันที

ในขณะเดียวกัน Observability จะลงลึกไปถึง ระดับ Trace และ Log เพื่อค้นหาว่า “ปัญหาจริงอยู่ตรงไหน”
สุดท้ายพบว่า Checkout API กำลังติดอยู่ที่การเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินภายนอก ทีมพัฒนารีบปรับ logic
และเพิ่ม retry mechanism ภายในไม่กี่ชั่วโมง

ผลลัพธ์: ยอดขายไม่รั่วไหล ไม่มีคำสั่งซื้อหลุด ประสบการณ์ลูกค้าไม่สะดุด และแบรนด์ยังรักษาความน่าเชื่อถือในวันสำคัญของธุรกิจได้อย่างเต็มที่

 

Use Case 2 – บริษัทประกันภัยที่ย้ายระบบขึ้น Cloud

ไม่ใช่แค่ย้าย แต่ต้องมั่นใจว่า “เสถียร” ตลอดเส้นทาง
สำหรับบริษัทที่กำลังทำ Cloud Migration โดยเฉพาะในระบบที่ซับซ้อนอย่าง Kubernetes
และไมโครเซอร์วิสหลายสิบตัว เรื่อง “ความเสถียร” คือหัวใจสำคัญ

Monitoring จะติดตามสุขภาพของแต่ละ Pod รวมถึงทรัพยากรต่าง ๆ แบบ Real-Time เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
แต่เมื่อเกิดปัญหา Observability จะเชื่อมโยงข้อมูลจาก Distributed Traces และ Logs เพื่อชี้จุดที่เป็นคอขวด
เช่น กรณีนี้พบว่า Service A ค้างที่ Service B เพราะเกิด memory leak 
ทีมจึงสามารถแก้ไขได้ทันที ทั้งการปรับโค้ดและตั้งค่าขีดจำกัดการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
ทำให้เวลาการแก้ไข (MTTR) ลดจากหลายวัน เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง

ผลลัพธ์: โครงการเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจ ลดต้นทุน downtime และรักษาประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างไร้รอยต่อ


Use Case 3 –
ธนาคารที่ต้องผ่านมาตรฐาน Compliance (เช่น ISO 27001 หรือ SOC 2)

Compliance ไม่ใช่แค่เรื่องของเอกสาร แต่คือความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้
ในโลกของสถาบันการเงิน ความน่าเชื่อถือ และ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ธนาคารจำเป็นต้องแสดงหลักฐาน
ว่าระบบมีความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบกิจกรรมย้อนหลังได้ตลอดเวลา

Monitoring จะตั้งกติกาแจ้งเตือน เช่น การ login ผิดหลายครั้ง หรือการเข้าถึงข้อมูลนอกเวลาทำการ
ส่วน Observability จะเก็บ Log และ Audit Trail แบบละเอียด ไว้ทั้งหมด — ช่วยให้ทีมสามารถดูย้อนหลังว่าใครทำอะไร ที่ไหน และเมื่อไหร่ ได้จาก แดชบอร์ดเดียว

ผลลัพธ์: การตรวจประเมินภายนอกผ่านได้เร็วขึ้น ไม่ต้องเตรียมเอกสารซ้ำซ้อน และลดความเสี่ยงทางกฎหมายในระยะยาว


ควรเลือกใช้อะไรให้ตอบโจทย์
?

ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของระบบ รวมถึงเป้าหมายของทีม IT หรือ DevOps ของคุณ

  • ระบบขนาดเล็ก / มีทรัพยากรจำกัด: เริ่มจาก Monitoring ก่อน เพื่อตรวจสอบพื้นฐานให้ครบ
  • ระบบขนาดกลาง - ใหญ่ / มี Distributed Systems: ควรใช้ Observability ร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกและปรับปรุง Performance
  • ทีมที่เน้น Reliability และ Incident Response: ต้องมี Observability เพื่อให้แก้ปัญหาได้เร็วและแม่นยำ

สรุป

Monitoring และ Observability ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลระบบ

  • Monitoring ช่วยให้รู้ “ว่าเกิดอะไรขึ้น”
  • Observability ช่วยให้เข้าใจ “ว่าทำไมจึงเกิดขึ้น” และ “ควรแก้อย่างไร”

Sirisoft มีโซลูชันทั้งด้าน Monitoring และ Observability ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงานของคุณอย่างเต็มที่
ช่วยให้ระบบของคุณทำงานได้ต่อเนื่อง พร้อมลดความเสี่ยงจาก Downtime ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับ Sirisoft

Sirisoft ผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่
และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงาน
และการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code พร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีแบบ end-to-end ในเรื่องของ Infrastructure Optimization
และ Cyber Security ไปจนถึง Digital Transformation ที่จะช่วยออกแบบซอฟต์แวร์และโครงสร้างระบบไอทีหลังบ้านคุณให้ตอบโจทย์ธุรกิจ
เติบโตได้ไว ขยายได้ทันในทุกโอกาสของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

เห็นก่อน แก้ได้ไว ปัญหาไม่ลุกลาม ด้วย Elastic Observability เครื่องมือที่ช่วยมองเห็นระบบในทุกมิติ

Apr 28, 2025
  • SRS
  • สิริซอฟต์
  • IT
  • Elastic
  • Observability
  • Cloud
  • DevOps

Observability คืออะไร? ทำไมองค์กรยุคใหม่ต้องใส่ใจ 

ในยุคที่ระบบไอทีมีความซับซ้อนมากขึ้น จากการใช้ Microservices, Container, Cloud หรือระบบที่ต้องเชื่อมโยงหลายแอปพลิเคชันเข้าด้วยกัน
ความสามารถในการ "มองเห็น" สิ่งที่เกิดขึ้นภายในระบบกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง 

Observability (ความสามารถในการสังเกตระบบ) คือกระบวนการที่ช่วยให้ทีม IT, DevOps หรือ SRE เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นภายในระบบได้อย่างลึกซึ้ง
ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจาก 

  • Logs (ข้อมูลเหตุการณ์) 
  • Metrics (ค่าตัวชี้วัดของระบบ) 
  • Traces (เส้นทางการทำงานของแอปพลิเคชัน) 

เปรียบเทียบง่าย ๆ ถ้า Monitoring คือการรู้ว่า "มีอะไรผิดปกติ" — Observability จะช่วยตอบว่า "เพราะอะไรถึงผิดปกติ และจะแก้อย่างไร" 

Elastic Observability คืออะไร? 
Elastic Observability เป็นหนึ่งในโซลูชันของ Elastic Stack (หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ELK Stack) ที่รวมความสามารถ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากระบบต่าง ๆ และนำมาแสดงผลผ่าน Dashboard ของ Kibana โดยสามารถเชื่อมต่อและดึงข้อมูลได้จากหลายแหล่ง
เช่น Application Logs, Infrastructure Metrics, APM (Application Performance Monitoring) และ Uptime data 

จุดเด่นของ Elastic Observability 

  • รวมทุกมุมมองในจอเดียว: Logs, Metrics และ Traces ถูกรวมไว้ในจุดเดียว ไม่ต้องสลับเครื่องมือไปมา ช่วยประหยัดเวลาและลดความซับซ้อน 
  • Machine Learning Alert: ตรวจจับความผิดปกติแบบอัตโนมัติ ด้วยการวิเคราะห์ Pattern และพฤติกรรมของข้อมูล 
  • APM (Application Performance Monitoring): ติดตามการทำงานของแอปพลิเคชันแบบ end-to-end ดูได้ว่า request ไหนช้า เพราะอะไร และจุด bottleneck อยู่ตรงไหน 
  • Integrate ง่าย: Elastic Agent และ Beats สามารถติดตั้งง่าย รองรับการเก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง  
  • ใช้งานร่วมกับ Kibana: แสดงผลแบบ Visualization สวยงาม เข้าใจง่าย พร้อม Drill down ลงลึกได้ถึงรายละเอียดระดับ Request 

เหมาะกับใคร? 
Elastic Observability เหมาะกับองค์กรที่ต้องการ 

  • ติดตามระบบ IT แบบ Proactive แทนที่จะรอให้ระบบล่มแล้วค่อยแก้ 
  • ทำ Root Cause Analysis ได้รวดเร็วและแม่นยำ 
  • สร้างความมั่นใจในการ Deploy ระบบใหม่ ๆ โดยมีข้อมูลรองรับ 
  • รองรับระบบที่มีความซับซ้อนสูง เช่น Cloud-Native, Container-based, หรือ Hybrid Infrastructure 

ทำไมต้อง Elastic Observability จาก Sirisoft? 
การนำ Elastic Observability มาใช้ ไม่ใช่แค่เรื่องของ “การดูข้อมูล” เท่านั้น แต่มันคือการเปิดมุมมองใหม่ให้กับทีม IT
เห็นภาพรวมของระบบแบบ Proactive ป้องกันปัญหาก่อนจะเกิด ไม่ใช่แค่รอให้ระบบล่มแล้วค่อยแก้ไข 

Sirisoft พร้อมช่วยคุณออกแบบ ติดตั้ง และปรับใช้ Observability Platform ให้สอดคล้องกับโครงสร้างระบบขององค์กร
ช่วยให้คุณติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมระบบ IT ได้อย่างมั่นใจ พร้อมเดินหน้าสู่ยุค Cloud และ AI อย่างมั่นคง  

เกี่ยวกับ Sirisoft 
Sirisoft ผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่
และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงาน
และการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code พร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีแบบ end-to-end ในเรื่องของ Infrastructure Optimization
และ Cyber Security ไปจนถึง Digital Transformation ที่จะช่วยออกแบบซอฟต์แวร์และโครงสร้างระบบไอทีหลังบ้านคุณให้ตอบโจทย์ธุรกิจ 



 

ถอดบทเรียน เส้นทางสู่ DevOps ทำอะไรบ้าง เริ่มอย่างไร ทำอะไรต่อ?

Mar 07, 2025
  • Sirisoft
  • สิริซอฟต์
  • IT
  • DevOps
  • DevOpsRoadmap

 

ถอดบทเรียน เส้นทางสู่ DevOps ทำอะไรบ้าง เริ่มอย่างไร ทำอะไรต่อ?

 

SRS DevOpsRoadmap 960x1200 SKD1

 

DevOps คืออะไร และทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ?

ท่ามกลางที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูงขึ้น องค์กรต้องการระบบไอทีที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
DevOps จึงกลายเป็นแนวทางที่องค์กรทั่วโลกนำมาใช้เพื่อลดความล่าช้าในกระบวนการพัฒนา (Development) และปฏิบัติการ (Operations)
เพื่อให้การส่งมอบซอฟต์แวร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว มีเสถียรภาพ และปลอดภัยมากขึ้น

DevOps Roadmap: แนวทางสู่ความสำเร็จ

การนำ DevOps มาใช้อาจดูซับซ้อน แต่หากมีแผนที่ชัดเจน ก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างเป็นระบบ นี่คือขั้นตอนสำคัญใน DevOps RoadMap:

  1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System)
    ระบบปฏิบัติการเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงาน DevOps ที่ควรมีความเข้าใจทั้ง Windows และ Linux โดยเฉพาะ Linux ซึ่งเป็นที่นิยมในวงการ DevOps
  • Windows: เรียนรู้การจัดการระบบและใช้งาน PowerShell
  • Linux:
    • Ubuntu: ระบบปฏิบัติการ Linux ที่นิยมใช้ในเซิร์ฟเวอร์
    • RHEL (Red Hat Enterprise Linux): เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่
  1. ความรู้เกี่ยวกับ Terminal (Terminal Knowledge)
    การทำงานกับ Terminal เป็นทักษะพื้นฐานที่ขาดไม่ได้
  • Bash: เรียนรู้คำสั่งพื้นฐานและการเขียนสคริปต์
  • Process Monitoring: ใช้คำสั่งเช่น top, htop, และ ps เพื่อตรวจสอบกระบวนการทำงาน
  • Networking Tools: เรียนรู้การใช้ ping, netstat, curl, และ wget
  1. คอนเทนเนอร์ (Containers)
    Container เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การพัฒนาและ deploy แอปพลิเคชันทำได้ง่ายขึ้น
  • Docker: เรียนรู้การสร้างและจัดการ Container, ช่วยให้การพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชันทำได้ง่ายขึ้น
  • Docker Compose: การสร้างและจัดการ Container Image เพื่อลดความซับซ้อนของการติดตั้งแอปพลิเคชัน
  1. เครือข่ายและโปรโตคอล (Networking & Protocols)
    ความเข้าใจพื้นฐานของ TCP/IP, DNS, HTTP/HTTPS ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการสื่อสารในระบบไอที
  • SSH: เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการเข้าถึงและควบคุมระบบจากระยะไกลอย่างปลอดภัย
  • SSL/TLS: การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัย
  • HTTP/HTTPS: เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่าง web browser และ web server
  • DNS: เป็นระบบที่ใช้ในการแปลงชื่อ domain name ให้เป็น IP address
  1. ผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Providers)
    คลาวด์เป็นส่วนสำคัญของ DevOps ที่ควรเรียนรู้การใช้งานคลาวด์หลักๆ
  • Azure: Microsoft Azure เป็น cloud platform ที่ให้บริการหลากหลาย services เช่น compute, storage, database และ networking
  • AWS: Amazon Web Services (AWS) เป็น cloud platform ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ให้บริการหลากหลาย services ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของธุรกิจ
  • Google Cloud: Google Cloud Platform (GCP) เป็น cloud platform ที่ให้บริการหลากหลาย services ที่เน้นด้าน AI และ machine learning
  1. เครื่องมือ Automation และ CI/CD (Automate & CI/CD Tools)
  • Ansible: เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ automate การจัดการ configuration และ deployment ของระบบ
  • Jenkins: ใช้ในการสร้างและ automate CI/CD pipelines
  • GitLab CI/CD: เป็นเครื่องมือที่ built-in อยู่ใน GitLab สำหรับการสร้างและ automate CI/CD pipelines
  • GitHub Actions: เป็นเครื่องมือที่ built-in อยู่ใน GitHub สำหรับการสร้างและ automate CI/CD pipelines
  • ArgoCD: ใช้ในการ deploy application ไปยัง Kubernetes
  1. เครื่องมือจัดการ Logging & Monitoring (Logging & Monitoring Tools)
    การตรวจสอบและวิเคราะห์ Logs เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลระบบ
  • Dynatrace: เป็นเครื่องมือ monitoring ที่ครอบคลุมทั้ง application และ infrastructure
  • Elasticsearch APM: ระบบตรวจสอบประสิทธิภาพแอปพลิเคชัน
  • OpenTelemetry: เป็น framework ที่ใช้ในการเก็บรวบรวม metrics, logs และ traces จาก application และ infrastructure
  1. การจัด Container (Container Orchestration)
    การจัดการ Container จำนวนมากจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ Orchestration
  • Kubernetes: เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการ containerized applications ใน scale ที่ใหญ่
  • OpenShift: เป็น platform ที่สร้างอยู่บน Kubernetes ให้บริการเพิ่มเติม เช่น การจัดการ security และ monitoring
  • AKS/EKS/GKE: เป็น managed Kubernetes services จาก Azure, AWS และ Google Cloud ตามลำดับ
  1. ติดตามประสิทธิภาพแอปพลิเคชัน (Application Performance Monitoring - APM)
    การตรวจสอบประสิทธิภาพแอปพลิเคชันช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้ทันเวลา
  • Elastic Stack: เป็นชุดเครื่องมือที่ประกอบด้วย Elasticsearch, Logstash และ Kibana ใช้ในการ monitoring logs และ metrics
  • Prometheus: Prometheus เป็นเครื่องมือ monitoring ที่เน้น metrics
  • Grafana: Grafana เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ visualize metrics
  1. Apply Knowledge to Real Use Cases
    Sirisoft ได้นำแนวทาง DevOps มาประยุกต์ใช้กับลูกค้าหลายอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้การพัฒนาและการดำเนินงาน
    ด้านไอทีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น:
  • การออกแบบ CI/CD Pipeline ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร ลดขั้นตอน Manual และเพิ่มความเร็วในการส่งมอบซอฟต์แวร์
  • การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้ Infrastructure as Code (IaC) ทำให้การบริหารระบบคลาวด์เป็นไปอย่างอัตโนมัติ
  1. Document Your Journey

Sirisoft สนับสนุนการสร้าง Knowledge Sharing Community ภายในองค์กร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
และลดการพึ่งพาบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีการบันทึกและแชร์ความรู้ในองค์กรช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม ทำให้ทีมสามารถพัฒนาและเรียนรู้จากกันได้

  1. พัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
    DevOps เป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นกระบวนการที่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่ Sirisoft สนับสนุนการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ
    รวมถึงปรับปรุงกระบวนการ DevOps อย่างสม่ำเสมอ

ความเชี่ยวชาญของ Sirisoft กับ DevOps ตลอด 10 ปี
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Sirisoft ได้ใช้แนวทาง DevOps ในทุกภาคส่วนของการให้บริการ เพื่อช่วยองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ระบบที่ทันสมัย
ลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มความเร็วในการส่งมอบซอฟต์แวร์

โซลูชัน DevOps ที่ Sirisoft นำไปช่วยพัฒนาให้กับลูกค้า

  • พัฒนา CI/CD Pipeline ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับองค์กร
  • ช่วยองค์กรขยับจาก ระบบเดิม (Legacy) สู่โครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นด้วย Cloud & Containerization
  • ใช้ Infrastructure as Code (IaC) ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • นำแนวทาง DevSecOps มาช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างปลอดภัย

ผลลัพธ์ที่องค์กรได้รับจากการนำ DevOps ไปใช้

  • ลดระยะเวลาในการพัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถปล่อยซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น
  • ลดข้อผิดพลาดและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกระบวนการ Manual
  • เพิ่มความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ

อนาคตที่เรามุ่งมั่น
ในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะไม่หยุดนิ่ง เราพร้อมที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ และช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวไกลกว่าเดิม ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เรามี

เกี่ยวกับ Sirisoft

Sirisoft ผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่
และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงาน
และการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code พร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีแบบ end-to-end ในเรื่องของ Infrastructure Optimization
และ Cyber Security ไปจนถึง Digital Transformation ที่จะช่วยออกแบบซอฟต์แวร์และโครงสร้างระบบไอทีหลังบ้านคุณให้ตอบโจทย์ธุรกิจ

เช็คให้ชัวร์! ทำ Cloud-Native Software Development ยังไงให้ปลอดภัย?

Feb 19, 2025
  • Sirisoft
  • SRS
  • สิริซอฟต์
  • IT
  • Microservices
  • Cloud
  • CloudNative
  • DevSecOps

Cloud-Native Software Development คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ? 

Cloud-Native Software Development ไม่ใช่แค่การย้ายแอปพลิเคชันขึ้นคลาวด์ แต่คือแนวทางการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์
ที่ใช้ประโยชน์จาก Cloud Computing ได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ การขยายระบบแบบอัตโนมัติ (Auto-Scaling), การจัดการโหลดอย่างมีประสิทธิภาพ (Load Balancing)
ไปจนถึง การ Deploy ซอฟต์แวร์ผ่าน CI/CD 

ในยุคที่ทุกอย่างเป็นดิจิทัล ธุรกิจต้องการความเร็ว ความยืดหยุ่น และต้นทุนที่เหมาะสม การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Cloud-Native
จึงเป็นทางเลือกที่หลายองค์กรเลือกใช้เพื่อให้สามารถ ขยายขีดความสามารถ รองรับผู้ใช้จำนวนมาก และพัฒนาได้ต่อเนื่อง 

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือความปลอดภัย! 

เพราะระบบที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้าน Cybersecurity หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม 

แนวทางทำ Cloud-Native Software Development ยังไงให้ปลอดภัย?

1.  ปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น ด้วย DevSecOps 

การนำแนวคิด DevSecOps (Development + Security + Operations) มาใช้เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา Cloud-Native Software 

  • ตรวจสอบและแก้ไขช่องโหว่ ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาขยายตัว
  • ทดสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ ในทุกขั้นตอนของ CI/CD Pipeline 
  • สร้าง Security Policy ที่ชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงด้านการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด

 ตัวอย่าง: การใช้เครื่องมือ SAST (Static Application Security Testing) และ DAST (Dynamic Application Security Testing) เพื่อตรวจจับช่องโหว่ในโค้ดก่อน Deploy 

2. แยกส่วนเพื่อความปลอดภัย ด้วย Microservices Architecture 

ทำไม Microservices ถึงช่วยเพิ่มความปลอดภัย? 

  • ลดผลกระทบหากระบบล่ม เพราะแอปพลิเคชันถูกแบ่งเป็นโมดูลย่อย
  • จำกัดการเข้าถึงข้อมูลเป็นส่วนๆ (Least Privilege Access) ลดโอกาสการเจาะระบบ
  • อัปเดตและแก้ไขเฉพาะจุดได้ง่าย โดยไม่ต้องกระทบทั้งระบบ

 ตัวอย่าง: 

  • ใช้ API Gateway เพื่อควบคุมการเข้าถึงแต่ละ Microservice 
  • กำหนด Role-Based Access Control (RBAC) ให้ผู้ใช้มีสิทธิ์เข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น


3. ลด Human Error และความเสี่ยง ด้วย CI/CD Automation 

Continuous Integration (CI) และ Continuous Deployment (CD) ช่วยให้การพัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากมนุษย์ 

  • ลดความเสี่ยงจากการตั้งค่าไม่ถูกต้อง โดยใช้ Infrastructure as Code (IaC) 
  • ทดสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงโค้ด
  • Deploy อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องอาศัยการตรวจสอบแบบ Manual 

เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เช่น 

  • Jenkins, GitHub Actions – ทำ Automation Pipeline 
  • Terraform, Ansible – บริหารจัดการ Infrastructure แบบโค้ด
  • SonarQube, Checkmarx – ตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของโค้ด

4. จัดการง่าย ปลอดภัยกว่า ด้วย Container Security 

Containerization เป็นหัวใจของ Cloud-Native Development แต่หากไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัย อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี 

  • ใช้ Container Image ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการใช้ Public Image ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
  • จำกัดสิทธิ์ของ Container (Least Privilege Container) ลดความเสี่ยงจากการรันโค้ดอันตราย
  • Scan Container Image ทุกครั้งก่อนนำไปใช้งาน

ตัวอย่าง: 

  • ใช้ Kubernetes Security Policies เพื่อกำหนดสิทธิ์ของ Container 
  • ตรวจสอบ Image ด้วย Trivy หรือ Clair ก่อน Deploy 
  • จำกัดการรัน Container โดยไม่ใช้ Root Privileges

Cloud-Native Software Development: เทรนด์ที่องค์กรไม่ควรพลาด 

Cloud-Native Software Development ช่วยให้องค์กรพัฒนาแอปพลิเคชันได้เร็วขึ้น ปรับขนาดง่าย และลดต้นทุน แต่ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง 

องค์กรที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันให้แข็งแกร่งและปลอดภัย ควรเริ่มต้นจาก 

✅ นำแนวคิด DevSecOps มาใช้ 

✅ ออกแบบ Microservices Architecture อย่างปลอดภัย 

✅ ใช้ CI/CD Automation ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ 

✅ จัดการ Container Security อย่างมีประสิทธิภาพ 

ลงทุนกับระบบที่ปลอดภัยตั้งแต่ต้น ดีกว่าต้องแก้ปัญหาภายหลัง!

เกี่ยวกับ Sirisoft

Sirisoft ผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่
และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงาน
และการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code พร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีแบบ end-to-end ในเรื่องของ Infrastructure Optimization
และ Cyber Security ไปจนถึง Digital Transformation ที่จะช่วยออกแบบซอฟต์แวร์และโครงสร้างระบบไอทีหลังบ้านคุณให้ตอบโจทย์ธุรกิจ เติบโตได้ไว
ขยายได้ทันในทุกโอกาสของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว




 




 

 

Page 1 of 3

  • 1
  • 2
  • 3