ในโลกที่ธุรกิจต้องพึ่งพาระบบไอทีอย่างเต็มรูปแบบ ความเสถียร ความปลอดภัย และการตอบสนองต่อปัญหาอย่างทันท่วงที
เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ และเมื่อพูดถึงการดูแลระบบ หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า Monitoring (การตรวจสอบ)
แต่อาจยังไม่เข้าใจถึงบทบาทของ Observability (การสังเกต) ที่กำลังเป็นหัวข้อร้อนในโลกของ DevOps และ IT Operation
หลายคนอาจเคยได้ยินสองคำนี้ใช้แทนกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งคู่มีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณเปรียบเทียบ
ความแตกต่างระหว่าง Monitoring และ Observability พร้อมแนะนำแนวทางเลือกใช้อย่างเหมาะสม
เพื่อให้ระบบของคุณ "ไม่มีสะดุด" และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
Monitoring คืออะไร?
Monitoring คือการติดตามและตรวจสอบสถานะของระบบแบบ Real-time เพื่อให้เรารู้ทันเมื่อมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
เช่น เซิร์ฟเวอร์ล่ม CPU วิ่งเกินกว่าค่าที่กำหนด หรือระบบตอบสนองช้ากว่าปกติ
ตัวอย่าง: คุณตั้งระบบแจ้งเตือนไว้ว่า ถ้า Server CPU > 90% เกิน 5 นาที ให้ส่ง Alert มาที่ Slack หรือ Email เพื่อให้ทีมเข้ามาดูทันที นี่คือ Monitoring
ข้อดี
แจ้งเตือนปัญหาได้เร็ว – เมื่อระบบเกินเกณฑ์ที่กำหนด (Threshold) จะส่ง Alert ให้ทีมงานทราบทันที
เหมาะสำหรับระบบที่คาดการณ์ได้ – เหมาะสำหรับ application ที่ให้ความสำคัญสูง หรือ ต้องการตรวจสอบ ณ ช่วงเวลานั้น
ใช้ง่ายและประหยัดทรัพยากร – เพราะโฟกัสเฉพาะข้อมูลสำคัญ
ข้อจำกัด
ไม่เหมาะกับระบบที่ซับซ้อน – เช่น Microservices หรือ Cloud-Native ที่มี Dependency มาก
ไม่สามารถวิเคราะห์ Root Cause ได้ลึก – เพราะตรวจสอบเฉพาะสิ่งที่ตั้งค่าไว้
ตัวอย่างเครื่องมือ
- Prometheus(Open-source monitoring)
- Nagios(ระบบแจ้งเตือนแบบดั้งเดิม)
- Zabbix (Monitoring แบบ Real-time)
Observability คืออะไร?
Observability คือความสามารถในการเข้าใจสถานะภายในของระบบผ่านข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ เช่น Logs, Metrics, Traces
ซึ่งช่วยให้ทีมวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา (Root Cause) ได้รวดเร็ว แม้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตัวอย่าง: ระบบมี Response Time สูงขึ้น แต่ไม่มี Alert จาก Monitoring ทีมใช้ Observability Tool วิเคราะห์ Trace
และพบว่า API บางตัวทำงานช้าลงเพราะฐานข้อมูลมี Latency สูงผิดปกติ — นี่คือ Observability
ข้อดี
วิเคราะห์ปัญหาแบบลึก (Root Cause Analysis) – ดูได้ว่าเหตุการณ์หนึ่งส่งผลต่อระบบอย่างไร
เหมาะกับระบบ Distributed และ Cloud-Native – ติดตามการทำงานของ Microservices ได้ดี
ยืดหยุ่นสูง – สำรวจปัญหาใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน
ข้อจำกัด
ต้องการทรัพยากรและการจัดการข้อมูลมากขึ้น – ต้องเก็บ Logs และ Traces จำนวนมาก
อาจมีข้อมูลมากเกินไป – หากไม่มีกลยุทธ์การวิเคราะห์ที่ดี
ตัวอย่างเครื่องมือ
- Elastic Stack (ELK)– สำหรับเก็บและวิเคราะห์ Logs
- Jaeger– Distributed Tracing
- Grafana + Loki– Visualization & Log Aggregation
- Dynatrace - Observability พร้อม AI วิเคราะห์ปัญหาอัตโนมัติ
เปรียบเทียบ Monitoring vs Observability
ใช้ Monitoring และ Observability ร่วมกันได้ไหม?
คำตอบคือ ได้แน่นอน!
การผสานพลังของ Monitoring และ Observability ช่วยให้ทีม IT รับมือกับปัญหาได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
- Monitoring ทำหน้าที่เป็นด่านหน้า คอยแจ้งเตือนเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติ เช่น เซิร์ฟเวอร์ล่ม หรือระบบตอบสนองช้ากว่าปกติ
- Observability คือด่านวิเคราะห์ ทำหน้าที่สืบหาสาเหตุของปัญหา เช่น ตรวจสอบ Trace เพื่อระบุว่า Service ใดคือจุดที่ทำให้ระบบชะงัก
การทำงานร่วมกันของทั้งสอง ช่วยให้ทีมสามารถทั้ง “รู้เร็ว” และ “แก้ถูกจุด”
ตัวอย่างสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้เห็นภาพการใช้งานจริงมากขึ้น
Use Case 1 – อีคอมเมิร์ซช่วงแคมเปญใหญ่ (เช่น 11.11)
เมื่อยอดคำสั่งซื้อทะลัก แต่ประสบการณ์ลูกค้าต้องไร้รอยต่อ
ลองนึกภาพวันที่มียอดสั่งซื้อพุ่งทะลุเพดานอย่าง 11.11 หรือ Black Friday เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหลายแห่งต้องแบกรับโหลดมหาศาล
จนระบบอาจเริ่มช้า หรือแย่กว่านั้น—ผู้ใช้จ่ายเงินไม่ได้! ที่นี่เอง Monitoring จะเข้ามาจับสัญญาณเตือน เช่น CPU หรือ Response Time
ที่เกินค่ามาตรฐาน และส่งแจ้งเตือนให้ทีม DevOps ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทันที
ในขณะเดียวกัน Observability จะลงลึกไปถึง ระดับ Trace และ Log เพื่อค้นหาว่า “ปัญหาจริงอยู่ตรงไหน”
สุดท้ายพบว่า Checkout API กำลังติดอยู่ที่การเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินภายนอก ทีมพัฒนารีบปรับ logic
และเพิ่ม retry mechanism ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ผลลัพธ์: ยอดขายไม่รั่วไหล ไม่มีคำสั่งซื้อหลุด ประสบการณ์ลูกค้าไม่สะดุด และแบรนด์ยังรักษาความน่าเชื่อถือในวันสำคัญของธุรกิจได้อย่างเต็มที่
Use Case 2 – บริษัทประกันภัยที่ย้ายระบบขึ้น Cloud
ไม่ใช่แค่ย้าย แต่ต้องมั่นใจว่า “เสถียร” ตลอดเส้นทาง
สำหรับบริษัทที่กำลังทำ Cloud Migration โดยเฉพาะในระบบที่ซับซ้อนอย่าง Kubernetes
และไมโครเซอร์วิสหลายสิบตัว เรื่อง “ความเสถียร” คือหัวใจสำคัญ
Monitoring จะติดตามสุขภาพของแต่ละ Pod รวมถึงทรัพยากรต่าง ๆ แบบ Real-Time เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
แต่เมื่อเกิดปัญหา Observability จะเชื่อมโยงข้อมูลจาก Distributed Traces และ Logs เพื่อชี้จุดที่เป็นคอขวด
เช่น กรณีนี้พบว่า Service A ค้างที่ Service B เพราะเกิด memory leak
ทีมจึงสามารถแก้ไขได้ทันที ทั้งการปรับโค้ดและตั้งค่าขีดจำกัดการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
ทำให้เวลาการแก้ไข (MTTR) ลดจากหลายวัน เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ผลลัพธ์: โครงการเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจ ลดต้นทุน downtime และรักษาประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างไร้รอยต่อ
Use Case 3 – ธนาคารที่ต้องผ่านมาตรฐาน Compliance (เช่น ISO 27001 หรือ SOC 2)
Compliance ไม่ใช่แค่เรื่องของเอกสาร แต่คือความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้
ในโลกของสถาบันการเงิน ความน่าเชื่อถือ และ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ธนาคารจำเป็นต้องแสดงหลักฐาน
ว่าระบบมีความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบกิจกรรมย้อนหลังได้ตลอดเวลา
Monitoring จะตั้งกติกาแจ้งเตือน เช่น การ login ผิดหลายครั้ง หรือการเข้าถึงข้อมูลนอกเวลาทำการ
ส่วน Observability จะเก็บ Log และ Audit Trail แบบละเอียด ไว้ทั้งหมด — ช่วยให้ทีมสามารถดูย้อนหลังว่าใครทำอะไร ที่ไหน และเมื่อไหร่ ได้จาก แดชบอร์ดเดียว
ผลลัพธ์: การตรวจประเมินภายนอกผ่านได้เร็วขึ้น ไม่ต้องเตรียมเอกสารซ้ำซ้อน และลดความเสี่ยงทางกฎหมายในระยะยาว
ควรเลือกใช้อะไรให้ตอบโจทย์?
ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของระบบ รวมถึงเป้าหมายของทีม IT หรือ DevOps ของคุณ
- ระบบขนาดเล็ก / มีทรัพยากรจำกัด: เริ่มจาก Monitoring ก่อน เพื่อตรวจสอบพื้นฐานให้ครบ
- ระบบขนาดกลาง - ใหญ่ / มี Distributed Systems: ควรใช้ Observability ร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกและปรับปรุง Performance
- ทีมที่เน้น Reliability และ Incident Response: ต้องมี Observability เพื่อให้แก้ปัญหาได้เร็วและแม่นยำ
สรุป
Monitoring และ Observability ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลระบบ
- Monitoring ช่วยให้รู้ “ว่าเกิดอะไรขึ้น”
- Observability ช่วยให้เข้าใจ “ว่าทำไมจึงเกิดขึ้น” และ “ควรแก้อย่างไร”
Sirisoft มีโซลูชันทั้งด้าน Monitoring และ Observability ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงานของคุณอย่างเต็มที่
ช่วยให้ระบบของคุณทำงานได้ต่อเนื่อง พร้อมลดความเสี่ยงจาก Downtime ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เกี่ยวกับ Sirisoft
Sirisoft ผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่
และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงาน
และการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code พร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีแบบ end-to-end ในเรื่องของ Infrastructure Optimization
และ Cyber Security ไปจนถึง Digital Transformation ที่จะช่วยออกแบบซอฟต์แวร์และโครงสร้างระบบไอทีหลังบ้านคุณให้ตอบโจทย์ธุรกิจ
เติบโตได้ไว ขยายได้ทันในทุกโอกาสของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว